แนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ที่วิเคราะห์ได้จากในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มือถือที่ทำหน้าที่เอนกประสงค์ เช่น โทรศัพท์ บันเทิง แสดงความคิด ความรู้สึก การรับรู้ข่าวสาร จนทำบางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนไป เช่น หนังสือพิมพ์ เริ่มกลายเป็นของโบราณ และมีแนวโน้มที่จะทำรายได้ไม่เหมือนก่อน เพราะสามารถอ่านได้บนอินเทอร์เน็ตมีทั้งภาพและเสียง แม้แต่ทีวียังลำบาก
เพราะอินเทอร์เน็ตจะดูเมื่อไหร่ ย้อนหลังเท่าไหร่ ปีไหนก็ได้ ทีวีอาจไม่มีความหมาย ในเมื่อคนยุคใหม่ดูแต่มือถือ ที่เรียกได้ว่า “สังคมก้มหน้า” ข้อมูลข่าวสาร ที่ปะทะเราโดยตรงมีทั้งแบบมองเห็นและที่มองไม่เห็นคือข้อมูลที่ส่งผ่าน อุปกรณ์มือถือของเราไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ตนั้นมีการเกิดขึ้นตลอดเวลา
เมื่ออุปกรณ์นั้นได้ทำการเปิดการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายข้อมูลที่เรามองเห็น เช่น ข้อความ ที่เขียนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) การส่งภาพ การแชร์ข้อมูล การคลิก Like ชอบ และที่เราไม่ได้สังเกต มันทำงานอยู่หลังฉากเสมือนเงาติดตามตัวเรา เป็นสิ่งที่คนเรามองไม่เห็นซึ่งในทางเทคนิคนั้นข้อมูลการตรวจสอบทั้งผู้ให้ บริการเครือข่ายเอง เช่น ค่า Protocol ค่าระบบเครือข่าย มีทั้งค่า IP Address ต้นทาง ปลายทาง Port Service ที่เกิดขึ้นการ Query DNS (Domain Name System) และอื่นๆ ที่พอเหมาะสมกับการสื่อสารนั้น ซึ่งมีมากกว่านี้มาก
การตรวจสอบของระบบปฏิบัติการ (Android , iOS , windows) กว่าหมื่นล้านเครื่องที่บรรจุระบบปฏิบัติเหล่านี้ลงไป จะมีการตรวจสอบและการปรับปรุงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลายามเมื่อเราเผลอ
ผมขออธิบายแนวโน้ม เทคโนโลยีในอนาคต ดังนี้
1. คนไม่มีตัวตน ไม่มีสิทธิ
ผมมองว่า เรื่องการระบุตัวตนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต (Identity) ที่เราคุ้นเคยคือผ่าน E-mail จะถูกผูกขาด กับชาติมหาอำนาจอย่างมาก เราจำเป็นต้องใช้ E-mail เพื่อพิสูจน์การใช้สิทธิเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในหลายรูป และมีนโยบายของผู้ให้บริการ (Content Provider) ต้องการให้เราบอกมากว่า E-mail เช่น เบอร์โทรศัพท์ โดยอ้างถึงความปลอดภัย สำหรับ Application ที่ใช้อยู่จำเป็นต้องยืนยันตัวตน เช่น Facebook เราถูกบังคับให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ มันเป็นการ Identity ประชากรอินเทอร์เน็ตโลกทีเดียว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือมือถือของเราเมื่อซื้อเครื่องสิ่งแรกที่คุณ ต้องกรอกข้อมูลคือ e-mail เพื่อที่ใช้งานได้ต่อทั้งโหลด app ต่างๆ และการยืนยันการเข้าถึงข้อมูลของ App ที่เราสนใจ ต่อไปคนไม่มีตัวตนที่ไม่ใช่กลุ่ม Anonymous ก็คือคนที่ระมัดระวังตัวสุดๆในโลกอินเทอร์เน็ต ที่เข้าใจกันติดต่อสื่อสารมากพอควร ซึ่งคนกลุ่มนี้มีหลายประเภท เช่น ผู้รู้ทางเทคนิค, คนที่ต่อต้านรัฐบาล, กลุ่มก่อการร้าย เป็นต้น
พวกนี้ใช้วิธีการอำพรางการสื่อสารแน่นอนเพื่อไม่ให้ตรวจหาเส้นทางการสื่อสาร ค่าไอพีแอดเดรส IP Address ของตนเองอำพรางการ Login บน Social Network ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร หรือหาความสัมพันธ์เชื่อมกับบุคคลอื่นได้ยาก หรือทำให้เกิดการสับสน ของข้อมูลเพื่อไม่ให้สืบถึงตัวได้ว่าเป็นใคร เป็นต้น
และ อีกพวก คือคนที่เข้าไม่ถึง เช่น คนยากไร้ และยังขาดการเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนอีกมากที่ยังไม่ได้เข้าถึงโลกแห่งนี้ ผมจะไม่ขอกล่าวถึง เอาเป็นว่า คนไม่มีตัวตน ไม่มีสิทธิ นี้คือคนที่เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตแล้ว อย่างน้อยที่สุดมี E-mail เป็นของตนเอง
เทคโนโลยีในอนาคต กับการระบุตัวตน (Identity) ไม่ได้หมายถึงแค่ คือ ใคร (Who) แต่รู้ถึงการกระทำ ประวัติการใช้งาน พฤติกรรมที่ใช้งาน ภาพถ่าย คลิป ทั้งภาพและเสียง อื่นๆ Timeline ตั้งแต่คุณเริ่มแรกที่เข้าสู่อินเทอร์เน็ต จนถึงปัจจุบันที่คุณทำ มันจะทำงานทุกครั้งเมื่ออุปกรณ์สื่อสารของคุณติดต่อออกสู่โลกภายนอก บนก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud ซึ่งส่่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย)
อ่านแล้วอย่าพึ่งกลัวจนเกินไป แต่จงใช้อุปกรณ์ที่อยู่ข้างกายคุณให้เป็นและคุณเป็นผู้ใช้งานปกติก็ยิ่งไม่ ต้องกลัว สิ่งที่จะถูกเฝ้าติดตาม (Monitor) ได้ ก็เพราะกลุ่มคน หรือ บุคคล ที่เป็นเป้าหมายของมหาอำนาจเท่านั้น
ปัจจุบันมีความพยายามของ Application ที่ติดตลาดแล้ว ทำการบังคับให้ Login ก่อนใช้งาน หากสังเกตดูง่ายๆ ทำไมเขาถึงต้องบังคับเรา เพียงแค่เรา Login เข้าไป มีข้อมูลอีกมากมายที่ทำให้รู้ และระบุตัวตนเราได้ ถึงแม้ E-mail ที่สมัครนั้นแทบไม่โยงความเป็นตัวตนของเราเลย
สิ่งที่กล่าวมาไม่ได้มาลอยๆ แต่ภาพสะท้อนการแฉข้อมูลระดับโลก อย่าง เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ก็ออกมากล่าวถึง NSA ที่อยู่เบื้องหลัง หากใครสนใจลองดูหนังสารคดีเรื่อง Citizenfour ดู แต่เมื่อดูหนังสารคดีเรื่องนี้แล้วก็อย่าพึ่งตัดสินใจเชื่อ ก็ให้ใช้หลัก “กาลามสูตร”
ด้วยมิใช่เชื่อทุกอย่างที่เห็น เพราะเหล่านี้ล้วนเป็นเกมส์ระหว่างประเทศและกลุ่มทุนเอกชนขนาดใหญ่ ย่อมต้องการให้ตนเองได้เปรียบคนอื่น
สรุป แนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต อันใกล้จะมีการระบุตัวตนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นประโยชน์ในหลายส่วน แต่ส่วนหนึ่งที่อาจสูญเสียไปก็คือความเป็นส่วนตัว (Privacy)
2. ด้วย Big Data จะทำให้รู้จักคุณ มากกว่า คุณรู้จักตัวเอง
ข้อนี้เป็นข้อขยายความต่อจากข้อ 1 ที่เขียนด้านบน รถยนต์ของเราบอกเส้นทางได้ แถมยังบอกได้ว่าเส้นทางไหนมีรถหนาแน่น ให้หลีกเลี่ยง (ปัจจุบันก็เป็นอยู่จาก Google Map และลงไปมากกว่าเส้นทางรถติดที่ขึ้นสีแดง คือสามารถบอกร้านอาหารไหนที่มีคนเข้าร้านหนาแน่นมาก พวกนี้เกิดจากการประมวลผลผ่าน Big data ที่ได้แรงสนับสนุนจากประชาชนคนไทยที่พร้อมใช้เปิดเครื่องมือสื่อสาร ที่แชร์แบบตั้งใจ และ โดนส่งข้อมูลออกแบบที่ไม่รู้ตัว เพราะระบบปฏิบัติการ OS มือถือ Android ของ Google ส่วน App แผนที่ ก็ Google map ก็จะให้ไม่รู้ได้อย่างไง ปิดตรงไหนจะไม่ได้รั่วบ้าง ?
เมื่อ Application บนสมาร์ทโฟน ที่บรรจุในมือถือ แต่กับแปลงร่างย่อยส่วนไปอยู่ในอุปกรณ์ (Device) ต่างๆ เช่น นาฬิกา , ข้อมือเพื่อสุขภาพ ตรวจวัดระดับของความดันโลหิต ชีพจร อัตราการเต้นของหัวใจอันจะประมวลผลจากก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud) เพื่อส่งรายงานต่อผู้ใช้โดยตรงว่า สุขภาพของท่านเป็นเช่นไร ?
เมื่อ sensor ไร้สายติดตั้งในรถยนต์ ที่สามารถบ่งบอกได้ว่า ยางรถของคุณได้เวลาเปลี่ยน พร้อมมีความสึกหรอไปมากเพียงใดแล้ว หลอดไฟหน้าซ้าย เริ่มมีระดับแสงสว่างที่น้อยเกินกว่าความปลอดภัย จะถูกส่งเตือนเข้าอุปกรณ์มือถือของเรา ให้เราทราบถึงการซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพกับผู้ให้บริการ ที่มีพันธิมิตรมากกว่าเก่า (ที่อย่างน้อยต้องมีโปรแกรมเมอร์ช่วยสร้าง App) เพราะเวลานั้นมีค่าสำหรับทุกคน
ดังนั้นการซ่อมแซมที่มีประสิทธิภาพ จะมาพร้อมกับการแจ้งเตือนเข้าสู่ตัวคุณ โดยที่ไม่ต้องรอคุณหมอ และ ช่างซ่อม มีส่วนหนึ่งที่ทำให้การบริการเป็นเลิศ เพราะคุณคือ “Individual” บริการนี้เจาะจงเพื่อคุณคนเดียว Individual Services จะทำให้คุณแปลกใจว่าทำไมสินค้าและบริการที่เข้า มาเสนอขายคุณตรงผ่านช่องออนไลน์ ช่างเข้าใจอุปนิสัยใจคอของคุณมากกว่าคนใกล้ตัวคุณเสียอีก
Individual Services ยังทำให้คุณเหมือนเป็นคนพิเศษและตกลงปลงใจที่เลือกสินค้าและบริการได้อย่าง รวดเร็ว ที่ทำอย่างงี้ได้ก็เพราะยุคนี้เท่านั้นแหละก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud) ที่มีคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มันทำให้แยกแยะข้อมูล ประมวลผลและจัดการให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับผู้ให้บริการที่เรียกว่า “Content Provider”
อย่าแปลกใจหลายประเทศก็รู้ทันว่าทำอย่างไร แต่ไม่ทันการที่มหาอำนาจก้าวไปไกลเกินกว่าจะตามทัน จนต้องอุทานไปว่า “ช่าง..่งมัน” เลยจำใจต้องจ้าง Hackers มืออาชีพเพื่อทำการล้วงใส้ หรือที่เป็นที่นิยมอย่างมากคือซื้อข้อมูลผ่านเส้นทางสายไหมแห่งยุคไซเบอร์ (Silk Road : Marketplace ) ผ่าน Deepweb ตลาดมืดที่มีทั้งองค์กรสนับสนุน และกลุ่มที่ซ่อนตัวใต้ภูเขาน้ำแข็งที่ลึกกว่าตามองเห็น เครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เก็บประวัติของคุณตั้งแต่เด็กพึ่งหัดเดิน ได้เข้าสู่ปฐมวัย และก้าวสู่วัยรุ่น Timeline เหล่านี้ไม่เคยหายไปไหน
แต่ยังไปเก็บที่ก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud สักที่ ที่ไม่ใช่ประเทศไทย) สายลัดข้อมือและมือถือ ที่ส่งข้อมูล อัตราการเต้นของหัวใจ ข้อมูลด้านสุขภาพที่เราตั้งใจกรอก เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ทุกข้อมูล Profile ที่กรอกข้อมูลเต็มที่เพื่อ ที่ใช้ประโยชน์กับเพื่อนเก่าๆ ที่หายไปนาน ทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกข้อความ ทั้งที่เผยแพร่ (public) และ ลบออกไปไม่เสนอสาธารณะ ยังคงอยู่ และพร้อมใช้งานเมื่อมีคนต้องการสืบค้น ประเมินพฤติกรรม ของบุคคลนั้น นิสัยใจคอ อารมณ์ความรู้สึก วุฒิการศึกษา สถานที่อยู่อาศัย เครือข่ายกลุ่มเพื่อนในชีวิตของเขา สุขภาพของเขา ซึ่งเหล่านี้คือฝันที่เป็นจริงของหน่วยงานด้านความมั่นคง (ที่ไม่ใช่ประเทศไทย)
สรุป Big Data ข้อมูลการสื่อสารจากอุปกรณ์มือถือของเราคอมพิวเตอร์ของเรา ผ่านระบบเครือข่ายของเรา และของคนอื่นที่กระจายอยู่ทั่วโลกนั้น ด้วยเทคนิค CDN (Content Derivery Network) มันถูกเชื่อมเข้าสู่ส่วนกลาง ที่เต็มไปด้วยข้อมูล และเต็มไปด้วยเรื่องราวจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มันทำให้รู้เรื่องของเรา มากกว่าเรารู้เรื่องของตนเอง เพราะคนเรานั้นมีโอกาสที่จะลืม แต่ก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud)
ความเสถียรระดับหากโลกไม่ดับสูญ ยังทำงานอยู่ คลังข้อมูล (Big data) ถูกย่อยและจัดเก็บบน Storage ที่ใหญ่พอเก็บข้อมูลคนทั้งโลกได้เดินหน้าต่อและพร้อมขยายตัวแบบไร้ขอบเขต เป็น “Eye in the sky” สำหรับใคร ? ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูล ? เรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่านวิเคราะห์เอาเอง
3. IoT เปลี่ยนชีวิต
แนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ว่าด้วยเรื่องของ IoT (Internet of Things) ต่อจากข้อ 2 แต่ว่าด้วยการเป็นอุปกรณ์ที่จะอยู่รอบๆ ตัวเรา จะส่งข้อมูลได้ไม่ว่าเป็น ทีวี (ปัจจุบันเป็นแล้ว), มิเตอร์ไฟฟ้า, ประปา, ตู้เย็น, หลอดไฟ, เสาให้สัญญาณไฟ ก็เป็น รวมถึง ชิ้นส่วนเล็กๆ บนรถยนต์ ในอนาคตอันใกล้มีโอกาสเห็นรถยนต์ไร้คนขับ อุปกรณ์ IoT ดังกล่าวจะทำการ Convergence ผ่าน Infrastructure ของระบบเครือข่าย
ได้แก่ ระบบเครือข่ายภายใน (LAN) ระบบเครือข่ายภายนอกเพื่อเชื่อมต่อินเทอร์เน็ต ส่งข้อมูลไปยัง Cloud Computer ที่มี Big Data อยู่ ซึ่งจะเชื่อมโยงกันแทนที่สิ่งของเดิมที่เราใช้งาน IoT อุปกรณ์จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต จนถึงขั้นที่ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เมื่อทุกอุปกรณ์ในอนาคตจะมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (มีค่าไอพีแอดเดรส คิดว่าถึงเวลานั้นคงเป็น IPv6 กันหมด)
สัญญาณนี้มาตั้งแต่ 2 ปีแล้วแต่จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องมาจาก ทุุกคนมีสมาร์ทโฟน สะท้อนตามจำนวนประชากรที่มีโทรศัพท์มือถือ และผู้ที่มีก็มีการเชื่อมต่อข้อูลผ่านโครงข่าย 3G และ 4G รวมทั้ง Wifi ตามสถานที่ เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา และความเร็วของอินเทอร์เน็ต ยุค 4G ที่ทุกคนคงกลายเป็นสังคมก้มหน้า อย่างถาวร นั้นเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกได้ว่า IoT มาแน่นอน
และอีกสัญญาณหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ฮาร์ดแวร์มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ Rasberry pi พัฒนา และบอร์ดอิเล็คทรอนิค อย่าง Arduino ซึ่งทำให้เกิดนักประดิษฐ์มากขึ้น ซึ่งทำให้ IoT ไม่เป็นเพียงความฝัน เพราะชิปอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคเหล่านี้จะไปฝังตามอุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แบบคาดไม่ถึง และประมวลผลผ่านสัญญาณไร้สาย และเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต ผ่านไป Cloud computer ซึ่งเป็นคลังประมวลผลระดับใหญ่ ระดับบริษัท ระดับชาติ และระดับโลกตามมา ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง ความเป็นส่วนตัวก็จะลดลงเพราะมีคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่ชาญฉลาดสามารถจัดแจงข้อมูล สรุปสถิติประมวลความน่าจะเป็น และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย
ในมุมด้านความมั่นคงปลอดภัยจะมีการนำไปใช้งานจาก IoT มากขึ้น ที่เห็นกันแล้วในปัจจุบันคืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle , UAV หรือรู้จักกันในชื่อว่า Drone) ที่ถูกนำมาใช้มากขึ้น ทั้งด้านการลาดตระเวน การสอดแนม จะใช้งานแทนผู้ปฏิบัติงาน(คน) โดยควบคุมระยะไกล ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และการสื่อสารไร้สาย ที่เป็นรูปแบบ Protocol
เฉพาะของประเทศที่เป็นมหาอำนาจ (ยกเว้นประเทศที่ซื้ออย่างเดียวไม่คิดทำ จะเสียเปรียบ) หรือผ่านอุปกรณ์สื่อสาร เช่นคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งมือถือ เพื่อใช้ปฎิบัติภาระกิจต่างๆมีความเป็นไปได้สูงที่เราจะเห็น Drone ขนาดเล็ก เล็กเสมือนแมลงวัน โดยสามารถควบคุมผ่านมือถือของเราได้ การนำ IoT ไปใช้กับชีวิตประจำวันจะค่อยๆ มา จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและทุกคนจะชินกับมันเหมือนกับปรากฎสมาร์ทโฟน ที่ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไม่เกิน 2 ขวบ จนถึงคนแก่ อายุ 90 ก็สามารถใช้งานได้
4. Startup กลับบ้าน
กลับบ้านในที่นี้ ผมมี 2 ความหมาย และ 2 ระยะ ระยะแรก ความหมายแรก ก็คือ ปัจจุบันนี้จนถึงอนาคตอีกไม่เกิน 5 ปี ต่อจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะมีจำนวนมาก ที่เรียกว่า “สตาร์ตอัพ (Startup)” ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนี้จะไม่แปลกเลยที่บริษัทหนึ่งจะมีคนทำงานไม่เกิน 3 คน หรือ แม้กระทั่งเพียงคนเดียวก็ได้ เนื่องมาจากความรอบรู้ และ กล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น
ด้วยความรอบรู้ : เนื่องจากคนยุคใหม่ ค้นหาข้อมูล ผ่าน Search engine google เป็นหลัก ทำให้อยากรู้เรื่องอะไร ก็ศึกษาเอาเอง แม้กระทั่งการทำบัญชี การทำเว็บ (ใช้ CMS สำเร็จรูปที่ติดตั้งสะดวก)
แทนตั้งร้านค้าขายเหมือนสมัยก่อน แต่ขายผ่านระบบ E-commerce และทำการประชาสัมพันธ์ ผ่าน Social network มี Known how สาระพัดที่เผยแพร่บนโลกอินเทอร์เน็ต ใครขยัน ช่างฝัน และกล้าลงมือทำ มีโอกาสเป็นจริงได้ คนรุ่นใหม่ค้นหาเก่งจะเป็นคนรอบรู้
ดังนั้น Startup กลับบ้านในระยะแรกคือ ไม่จำเป็นต้องมี office ในเมืองหลวงอีกต่อไป เขาสามารถทำงานที่บ้านเกิดเขาได้เลย เขาสามารถใช้ชีวิตแบบมีคุณภาพ กับท้องทุ่งที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึง เขาสามารถใช้ชีวิตแบบ “Slow life” ได้ (ถ้าไม่หวังสูง) เพราะการค้นหาข้อมูล จากความรู้ความสามารถที่ตนเองถนัด รักในงานที่ทำและการลงมือได้เอง ด้วยตัวเองจะทำให้เขาสามารถเป็น Startup ที่มีคุณภาพได้แม้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง
แต่ระยะที่ 2 เมื่อพบว่า Starup มีมากมาย และทำในเรื่องเหมือนๆ กัน ซึ่งสร้างรายได้ไม่ได้มากอย่างที่คิด เพราะมีความคล้ายคลึงกัน จนไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำดั่งเดิม หรืออันดี work สุด มันเหมือนกันไปหมด เมื่อกาลเวลาผ่านไป จึงทำให้ความฝันนั้นก็สลายไปได้ เพราะโลกความจริงนั้นแข่งขันกันสูง จะอยู่ได้เฉพาะคนที่รู้จริง ละเอียด (ลง Detail) และ ที่สำคัญ ต้องมี Connection นานาประการ ซึ่งเป็นเรื่องลำบากที่ Startup จะ Start ไปได้ต่อ และต่อเนื่อง Starup ช่างฝัน โลกสวยได้ไม่นาน ก็จำต้องตกเป็นอยู่ วงแขนของผู้ที่มีความพร้อม
ซึ่งระยะที่ 2 ในความหมายของกลับบ้าน คือ ผมคาดการณ์ว่า Startup ที่เกิดขึ้น ภายใน 5 ปี จะมีส่วนหนึ่ง อาจจะหลายส่วน จะกลับเขาสู่บริษัทขนาดใหญ่ (ปลาใหญ่สายป่านยาว) หรือ องค์กรจากภาครัฐที่สนับสนุน ซึ่งองค์กรภาครัฐดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส และ ต้องการให้เกิดผลลัพธ์ มิใช่ทำเพื่อประโยชน์ในระยะสั้น จะอ้าแขนรับคนช่างฝัน และมีศักยภาพกลุ่มนี้ ที่พร้อมพลักดันความฝันเขาให้เป็นจริงได้
สรุปว่า Startup เป็นเรื่องดี แต่สุดท้าย ประโยชน์ที่ได้จะตกอยู่กับบริษัทขนาดใหญ่ ที่สามารถเลือกช้อปช่องทางธุรกิจใหม่ของตนเองได้อย่างมั่นคงในอนาคตโลกเรามันก็เป็นวัฐจักรแบบนี้แหละครับ มันเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่สุดท้ายมันก็จะจบแบบเดิมๆ ทุกที
5. HTTPS เข้ารหัสเพื่อการเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริง
ข้อนี้เป็นเทคนิคมากหน่อย แต่ต้องอธิบายเพราะมีนัยะอย่างมาก Https คือ เว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัส SSL (Secure Socket Layer) โดย ค่าการเข้ารหัสนั้นจะมีเพียงเจ้าของผู้ให้บริการเท่านั้นที่มี กุญแจสำคัญดอกนี้ (Private key)
ถึงแม้จะสร้างหลอกกันได้ แต่สุดท้าย บราวเซอร์ และ OS ที่เราใช้จะไม่ยอมให้เข้าใช้งานอย่างอิสระ จึงเป็นเครื่องสำคัญสำหรับชาติมหาอำนาจที่คิดได้ในการเชิงความได้เปรียบในเชิงข้อมูล ค่า Cipher ที่เป็นการเข้ารหัสจะเฉพาะเจาะจงเฉพาะบริษัทที่ทำการเผยแพร่ เช่น Google หรือ Facebook ก็จะการเข้ารหัสเฉพาะหากทำเลียนแบบจะได้ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นเทคนิคที่ว่าแน่ MITM (Man in The Middle Attack) จะได้ชั่วคราว
ชิงการได้เปรียบทางข้อมูลไม่พอ เทคนิคดังกล่าวจะเหลือผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันภัยยี่ห้อจากฝั่งประเทศมหา อำนาจเท่านั้นที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ ดังนั้นเทคโนโลยีการถอดรหัส (Decrypt) ข้อมูลเหล่านี้ จึงถูกผูกขาด (คนในวงการหากเอ่ยชื่อผลิตภัณฑ์นำเข้าเหล่านี้ก็จะรู้ดีว่ามี Feature ดังกล่าวแทนที่คนอื่นประเทศอื่นยากที่จะตามทัน) บอกได้ว่ามีแต่ได้กับได้สำหรับประเทศมหาอำนาจ
ยิ่งมีเรื่องนี้มาเสริมกับชีวิตเราที่กำลังเดินบนเส้นทาง IoT (Internet of Things) สังคมก้มหน้าด้วย ยิ่งเข้าทางเขาเลยเพราะจะเชื่อมผ่าน SSL (HTTPS) เพื่อเชื่อมต่อก้อนเมฆแห่งข้อมูล(Cloud) ทั้งหมดจะเป็นการสื่อสารแบบนี้ในโลกอนาคต HTTP จะกลายเป็นเพียงอดีต ผู้ที่ได้เปรียบคือผู้ที่ถือ Key
ทำไมผมถึงต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ผมไม่ได้มองแค่ HTTPS เป็นแค่แฟชั่นความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ เพราะเว็บธรรมดา หรือ App ธรรมดา ที่ไม่มีหน้า Login ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น HTTPS ก็ได้
HTTPS สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการดักรับข้อมูล (Sniffer) บนระบบเครือข่าย
ในอดีตที่ผ่าน การดักรับข้อมูลเกิดขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะฝั่งรัฐบาลของประเทศต่างๆ ดังนั้นเขาสามารถ Monitor พฤติกรรมประชาชนของเขาได้ สามารถสืบหาผู้กระทำความผิดได้ โดยง่ายดาย แต่ตอนนี้กลับตรงข้าม เพราะรายใหญ่ Google , Facebook , Twitter เครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่มีโอกาส ที่คนกระทำการหมิ่นประมาทกันมากที่สุด
และมีอิสระมากนั้นไม่สามารถควบคุมได้จากภาครัฐอีกต่อไป เพราะ HTTPS เป็นประโยชน์กับเป็นประเทศเจ้าของเนื้อหา (Content) ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมากที่รัฐจะเข้าไปเกี่ยวข้อง และดูพฤติกรรมดังกล่าว ได้อย่างในอดีต ประเทศที่จะมีปัญหาคือประชาชนใช้งานพวกนี้มาก จะถูกเป็นเครื่องมือต่อรอง และในที่สุดก็จะเสียเปรียบ
ผมจึงมองว่า HTTPS โดยเฉพาะ Log files ที่มีการกระทำความผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายเฉพาะของแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน นั่นจะถูกเปิดเผยได้เฉพาะผู้ให้บริการเนื้อหา (Content Provider เช่น google , facebook เท่านั้น) ยิ่งเราติดกับดักมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหมดหนทางที่ไขปริศนาต่างๆ ไม่ว่าเรื่องการก่อการร้าย การโพสข้อมูล การส่งข้อมูล และอื่นๆ
6. ระบบอัตโนมัติ (Automate Robot)
ผมมองว่า ระบบอัตโนมัติ เสมือนกับ Robot จะมาแย่งงานคนที่ไร้ฝีมือมากขึ้น งาน ที่ต้องทำแบบซ้ำๆ ปัจจุบันในโรงงานก็จะมีเครื่องกลทำงานให้แทน แต่ในอนาคตอันใกล้ เอาเฉพาะสายงานด้านความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล (Information Security) มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นคนที่มีใบ Certification ดังๆ หลายใบ แต่ขาดความรู้และประสบการณ์จะตกงานกัน
โดยเฉพาะงาน MSSP (Management Security Services Provider) จะใช้คนดูแลน้อยลงมาก เพราะมีระบบที่ชาญฉลาด วิเคราะห์ข้อมูลให้ คัดแยกข้อมูลอันตราย และทำงานเชื่อมโยงกันเพื่อการป้องกันชนิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานวิเคราะห์ ได้แล้ว หลังๆ จะเห็นศัพท์ IoC (Indicator of Compromise) เข้ามาตรวจในระบบ SIEM (Security Information Event Management) เพื่อคัดกรอกเหตุการณ์เอาเฉพาะใช่ภัยคุกคามจริงๆ จะทำให้ลดเรื่อง False positive (การเข้าใจผิดว่าเป็นการบุกรุก) ซึ่งในอดีตต้องอาศัยคนที่ประสบการณ์วิเคราะห์ แต่ปัจจุบันมี robot ช่วยวิเคราะห์ มีความแม่นยำ และสู้งาน ขยัน 24 ชั่วโมงไม่พักผ่อน
IoC จะทำการแยกว่าใช่การโจมตีจริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็จะเรียนรู้และเข้าสู่ระบบ Automation Incident Response ซึ่งในอดีต Incident Response เป็นงานของคน แต่ปัจจุบันและอนาคตกับมี robot ที่บรรจุลงในฮาร์ดแวร์ (Appliance จะเห็นได้จาก Next Gen Firewall ก็เริ่มมีทุกอย่างแล้ว) การแก้ไขปัญหายากๆ มีความซับซ้อน robot ก็เข้ามาแทนที่คนได้
ซึ่งเห็นว่าปีที่แล้ว 2558 รายใหญ่ในต่างประเทศก็ทำเรื่องนี้ ดังนั้นจึงมองว่า ในอนาคตงานเหล่านี้อาจจะใช้คนจำนวนไม่ต้องมากแต่ต้องเป็นคนเก่งจริง แล้วคนที่ตกงานเหล่านี้จะไปอยู่ไหน ทั้งที่ก็ควรจะมีอนาคตที่ดีเพราะมี Certification ก็คงต้องไปเป็น Startup ชั่วคราวสักระยะ ระบบอัตโนมัติ ที่กล่าวยังไม่รวมถึงการโจมตีแบบอัตโนมัติ ที่เรียกว่า botnet ทำงานauto มานานแล้วแต่จะทวีความฉลาดและเน้นที่เจาะระบบเครื่องแม่ข่าย (Public IP) ชนิดที่พลาดนิดเดียวก็โดน hack ได้เพราะ robot พวกนี้ทำงานตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ส่วนใหญ่เป็น Brute Force รหัสผ่าน ผ่าน Service ที่ส่วนใหญ่ Server ชอบเปิด
โดยเฉพาะ SSH (Secure Shell) เหล่า System admin หรือกลุ่ม Research ที่เคยทำพวก Honeypot หรือเคย Monitor พวก Log คงทราบดี ส่วนใหญ่ก็ลงประเทศพี่ใหญ่เราทั้งนั้น พวกนี้ทำเพื่ออะไร ? ผมไม่ขอขยายความไว้เล่าต่อยามที่มีโอกาส
7. คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น เมื่อเราค้นหาข้อมูลและปฏิบัติจริง
เมื่อ แนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต เราสามารถเข้าถึงข้อมูล เรารู้จักอ่านข้อมูล รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ รู้จักอันเลือกข้อมูล อันไหนมีสาระ มีประโยชน์กับตัวเราและผู้อื่นที่อยู่รอบข้างเรา จะทำให้คนยุคใหม่เป็นคนที่ฉลาดขึ้น รอบรู้ขึ้น
จนผมเห็นแนวโน้มการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนี้
- เรื่องอาหารการกิน คุนยุคใหม่ ที่เข้าถึงข้อมูล จะเลือกกินอาหารมากขึ้น จะเลือกกินเฉพาะอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคนยุคใหม่มีโอกาสที่ทำอาหารกินเองสูง จะเห็นได้ว่าคนที่ดูแล้วเก่ๆๆกั่งๆ เข้าครัว หรือ ปลุกผักกินเองในพื้นที่ ที่อยู่อาศัยของตนเอง เพื่อทำอาหารกินเองเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น (รายงานแนะนำ ค้นหาใน google “ความสุขปลูกได้”) เพราะมีความรู้สึกว่าอาหารมีราคาแพงขึ้น และไม่คุ้มค่า อาหารที่ได้รับประทานมีคุณภาพที่ด้อยลง ด้วยเป็นผลพ่วงการผลิตแบบอุตสาหกรรม การผลิตที่เน้นปริมาณ ซึ่งมีโอกาสสูงที่มีสารเคมีตกค้าง นั้นมันอาจจะทำให้เราป่วยได้ คนส่วนหนึ่งที่แบ่งเวลาได้ จึงต้องเปลี่ยนตัวเองมาทำอาหารกินเอง ก็แนวโน้มคนรักสุขภาพที่ทำอาหารกินเอง นอกจากกระแสที่เกิดขึ้นแล้วอย่างเ่นปั่นจักรยาน และออกกำลังกาย เพื่อการชลอวัย
- เมื่อเราเข้าถึงข้อมูล การทำงานที่สามารถทำที่ไหนก็ได้ ทำให้เราได้กลับไปอยู่บ้านเกิด อยู่กับครอบครัวเราได้ ที่เรียกว่า “บ้านหลังใหญ่” ที่มีคนทั้ง 3 วัย อยู่ร่วมกันซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นต่อไป แต่ต้องทำความเข้าใจว่าการกลับไปทำงานที่บ้าน ก็ใช่ว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จได้เพราะยุคสมัยที่แข่งขันกันสูงมากเช่นนี้แต่มันจะขึ้นกับคนที่รู้จักออกแบบ วางแผน และมีวินัยรู้จักการใช้เวลาให้เกิดคุณค่าและประโยชน์มากที่สุด และที่สำคัญต้องรู้จักประมาณตน ไม่โอเวอร์เกินไป
- การศึกษาเรียนรู้ ถือได้ว่าคนยุคใหม่ที่เข้าถึงข้อมูลมีโอกาสที่ค้นคว้าหาความรู้นอกตำรา ซึ่งแล้วแต่บุคคลนั้นที่สนใจสามารถเจาะลึก หากลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และต่อยอดในสิ่งที่ทำได้จะเกิดประโยชน์อย่างมาก
ทั้ง 3 ข้อที่เขียนมา นั้นอาจดูสวย แต่ในความเป็นจริงอาจทำได้เพียงครั้งคราว อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สำคัญที่สุดและถือว่าเป็นบทสรุป ที่ใช้ได้ทั้งปัจจุบัน และ อนาคต คือ “เราควรจะอยู่อย่างพอเพียง ให้พอดีกับตัวเราเอง” แบ่งเวลาเพื่อการให้ จะเป็นการให้ความรู้ ให้อภัย ให้โอกาส ทั้งหมดด้วยใจที่บริสุทธิ์ เมื่อทุกคนรู้จักการให้ คุณภาพชีวิตเราจะดี เป็นสังคมที่น่าอยู่ขึ้น
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือแน้วโน้ม เทคโนโลยีในอนาคต ในปี 2559 ตามทัศนะของผมเท่านั้น
สวัสดีปีใหม่ 2559 ขอให้โชคดีมีความสุข
นนทวรรธนะ สาระมาน
31 / 12 / 2558
เขียนให้อ่าน หากชอบโปรดแชร์ ระบุที่มา จะขอบคุณ
นี่ยังไม่รวม Application ที่เราชอบโหลดชอบลงกัน มี 10 App ก็ตรวจ 10 App พวกนี้ก็ตรวจสอบและปรับปรุงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อย่างต่อเนื่อง
แม้แบบที่เราไม่เต็มใจก็ตาม ก็ยังมีอัพเดทส่งค่าไปแจ้งที่ส่วนกลาง บนก้อนเมฆแห่งข้อมูล (Cloud) ซึ่งไม่ค่อยสนุกเลยถ้ารู้ความจริงว่าข้อมูลใดบ้างที่หลุดไป
(คนที่เคยทำงานพวก Log Analysis และอ่าน Log ดิบเป็นจะรู้ดี)
Knowledge